วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

[รีวิวเที่ยว] ตอน 3 (จบ) : หาด Unstad ในฤดูหนาว | เที่ยวนอร์เวย์ | เที่ยวยุโรป



ต่อจากตอน 2 ในวัดถัดมา ก็มีแผนที่จะไปหาด Unstad ที่อยู่ห่าง Leknes ประมาณ 20 กว่ากิโลเมตร แล้วเราก็ไปที่เดียวเลย ไปที่เที่ยวอื่นไกลมาก เน้นขับรถชิวๆ ระหว่างทางตรงไหนสวย ก็จอดถ่ายรูปไปเลย

ระหว่างทางจาก Leknes ไป Unstad



หาด Unstad

มีหินสีดำก้อนใหญ่เต็มชาดหาย




หาด Unstad ตอนที่ไปถึงเงียบมากๆๆๆ มีแค่รถอีกคันจอดอยู่พร้อมกับกระดานเล่นเซิร์ฟ หน้าขนาดนี้ยังจะเล่น?? ลงไปนี่ แข็งตายเลย แต่วิวสวยมากๆ เป็นหาดที่มีหินก้อนเบ่อเร่อรายเรียงทั้งหาด จริงๆ เดินขึ้นเขาไปถ่ายรูปด้านบน จะได้วิวหาดจากมุมบนด้วย แต่เดินอยู่ 10 ก้าว ขาก็สั่นแล้ว เลยเอาวิวตรงนี้แหละ สวยแล้ว😂

ถ่ายรูปเสร็จก็รีบเข้ารถ แล้วขับรถกลับไปที่พักเลย 

ทางกลับไปยังที่พัก

เดินเล่นหน้าที่พัก

บรรยากาศหน้าที่พักตอนบ่าย 2

เดินเล่นถ่ายรูปหน้าที่พักอีกนิดหน่อยก็หามาม่ามากินในบ้านพัก มันฟินนะเธอ😝 อากาศหนาวๆ กินของร้อนๆ พร้อมวิว ฟ้าทึมๆ แต่สวยชะมัด

แป๊บเดียวบ่ายสาม ฟ้าแทบจะมืดมิดหมดแล้ว เราเลยดูพยากรณ์อากาศว่าฟ้าโปร่งมั้ย แล้วจะมีแสงเหนือมามั้ย ปรากฎว่าฟ้าเปิดใช้ได้ แสงเหนือก็กำลังจะมา ช่วงประมาณทุ่มกว่า เราเลยออกไปหาแสงเหนือกันที่หาด Haukland ใกล้ๆ

พอไปถึงตรงที่จอดรถหน้าหาด มืดมากๆ ไร้ผู้คน แต่มีรถจอดอยู่คันสองคัน เราก็นั่งอยู่ในรถ แล้วเริ่มยกกล้องมาถ่ายดูว่าแสงเหนือมายัง ถ่ายปุ๊บ เห้ย แสงเขียวรำไร ก็เลย เอาหล่ะ เดินออกไปหน้าหาดละกัน เผื่อจะเจอแสงเยอะกว่านี้ พร้อมพกขาตั้งกล้องไปด้วย เดินไปพร้อมไฟฉายจากมือถือส่องๆ จนถึงหาด ตอนนั้นบอกเลยว่ากลัวมาก ท่ามกลางความมืดกับเสียงทะเลที่ลมพัดแรงแทบปลิว มันน่ากลัวจริงๆ นะ😨 ตามที่รูปถ่ายได้ คือสว่างมาก ของจริงมืดทึบ ถ้าไม่ส่องไฟฉาย

หาด Haukland ตอนกลางคืน

และเราก็เล็งๆ หาแสงเหนือ ก็เริ่มมีคนส่องไฟฉายเดินมาทางเรา สักพักก็เริ่มมีเพื่อน 2 กลุ่ม มายืนใกล้ๆ กันรอแสงเหนือ แต่ตอนรอลมพัดแสกหน้าชาไปหลายรอบ ยืนตัวสั่นยิกๆ แสงก็ยังไม่มา แถมลมยังจะพัดขาตั้งกล้องเราปลิวอีก ทุกคนยืนรอด้วยความตั้งใจ แต่ชุดที่เราใส่มามันอุ่นไม่พอ เลยยอมถอยไปที่พักรถ

แต่คิดว่าอีกนานกว่าแสงเหนือจะมา อากาศก็หนาว ฟ้าก็เริ่มครึ้มนิดๆ เลยตัดสินใจกลับที่พัก แต่พอถึงที่พักเท่านั้นแหละ พยากรณ์บอกแสงมาแล้ว โถ่!!😭😭

บทเรียนครั้งนั้นสอนว่า ควรหาเสื้อดีๆ มาใส่กันหนาว และนอนเก็บแรงตอนเช้าเพื่อไปรอดูแสงตอนกลางคืน แล้วเอาขาตั้งกล้องแข็งแรงๆ มากันลมพัดปลิว 555

เอาจริงๆ แสงเหนือที่ไปมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเลย ตาของเรามองได้แค่ฟ้าครึ้มๆ มืดๆ แล้วก็เสียงทะเลสาดเข้าฝั่ง สีเขียวสวยๆ อย่างวิดีโอไม่มีเลย อาจเป็นเพราะตอนที่ไปค่าแสงยังไม่แรงพอและฟ้าก็ค่อนข้างปิด ถ้ามีโอกาสมาอีกก็จะเตรียมพร้อมกว่านี้💪

สุดท้ายเราเชื่อตามที่คนในเว็บหนึ่งบอกว่า โลโฟเทน ไม่ว่าจะเป็นช่วงฤดูไหน มืดช้ามืดเร็ว ไปเถอะ! แค่ไปก็คุ้มแล้ว มันจริง! ช่วง Polar night ที่เราไปมันให้บรรยากาศที่แตกต่างมาก มันสวยแบบคลุมเครือ เห็นแล้วก็อยากกลับไปใหม่อีก😍

*รูปทั้งหมดนี้ไม่ได้ปรับฟิลเตอร์อะไรเลย ฟ้าและอากาศเป็นแบบนี้จริงๆ*


อ่านเรื่องเล่า ดูอัลบัมเที่ยวที่
Instagram :  https://www.instagram.com/jeeffrie

Facebook :  https://www.facebook.com/paitiewnaigorpai

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2562

[รีวิวเที่ยว] ตอน 2 : Leknes สู่ Å วิวเงินล้านตลอดเส้นทาง | เที่ยวนอร์เวย์ | เที่ยวยุโรป

 หลังจาก ตอน 1 เที่ยววันแรกช่วง Polar night ใน Lofoten เสร็จ เช้าอีกวันก็เตรียมตัวไปเที่ยวฝั่งหมู่บ้าน Å บ้าง เพราะฝั่งนั้นมีแลนด์มาร์คอย่างวิวภูเขาเมือง Reine และ Hamnøy ที่ช่างภาพชอบไปถ่ายกัน

ในวันนั้นอากาศเย็นมากท้องฟ้ามีเมฆเยอะ และออกเวลา 9 โมงเช้า แต่ฟ้ามืดทึบเราก็ค่อยๆ ขับรถไป ฟ้าเริ่มสว่างขึ้น จนถึงวิวหนึ่งที่เห็นแล้วอยากลงไปถ่ายรูป เพราะเป็นวิวภูเขาใหญ่ที่มีลำน้ำตัดผ่าน เราเลยจอดรถกันตรงที่จอดรถแล้วเดินออกไปถ่ายรูป โดยที่ไม่ได้นึกว่าตรงนั้นฝั่งนึงเป็นทางเขาและอีกฝั่งเป็นทะเล ลมจะแรงเป็นพิเศษ เหมือนลมดูด บอกเลยว่าลมแรงจนตัวปลิวได้เลย ตอนลมเงียบๆ มันไม่มีอะไร แต่ตอนลมมานี่เกาะราวให้แน่นเลย





อากาศที่นี่แปรปรวนมาก ลมแรงจะพัดรถแล้วรู้สึกเลยทีเดียว เราเลยรีบถ่ายรูปแล้วเดินทางต่อจนถึง Å ฟ้าก็สว่างพอดี แถวหมู่บ้านจะมีร้านค้าและโรงแรมอยู่เยอะ ดูเป็นแหล่งท่องเที่ยวมากกว่าที่พักของเรามันจะดูเป็นที่อาศัยมากกว่า

เราไปถึงประมาณ 10 โมง คนแทบจะไม่มีเลย เพราะฟ้ากำลังสว่าง มีฝรั่งเดินไปบนถนนที่ลมแรงๆ เพื่อถ่ายรูปอยู่ 1 คน แต่สักพักก็มีกลุ่มทัวร์ออกมาเที่ยวกันบ้าง แต่ด้วยลมแรงและความหนาว คนส่วนใหญ่เลยอยู่ในที่พักและรอให้อากาศดีขึ้นถึงจะออกมาเที่ยวกัน

เมืองไม่ใหญ่เลย เดินเล่นแป๊บเดียวก็หมดแล้ว แต่วิวสวย บรรกาศดีถ้าฟ้าโปร่ง
จริงๆ แล้วอยากมากินขนมปังเจ้าเก่าที่นี่ แต่ลืมดูเวลาเปิด-ปิดร้าน เลยดูกิน เพราะเขาปิดยาวทั้งฤดูหนาวเลย กว่าจะเปิดก็พฤษภาได้ นานมาก ไม่รู้ระหว่างนั้นทำอะไร😂





บ้านที่เป็นสีแดงๆ ตามริมทะเลเรียกว่า Rorbuer เป็นบ้านของชาวประมงแบบดั้งเดิม แต่เดี๋ยวนี้เขาขายบ้านเอาไปทำเป็นโรงแรม รีสอร์ทของนักท่องเที่ยว แล้วไปอยู่ที่อื่นกัน

เดินเล่นอยู่ครึ่งชั่วโมงก็ทนความหนาวไม่ไหว รีบถ่ายรูปแล้วขับรถย้อนกลับไปทางเดิม เพราะตรงนี้เป็นไฮไลต์แล้ว สุดทางแล้วก็ต้องกลับไปเก็บรูปของทางขามาที่ยังไม่ได้ถ่ายเพราะฟ้ามืดอยู่


ภาพเมือง Å 

เราขับรถมาจนถึงจุดชมวิวที่ใครมาโลโฟเทนต้องมาที่นี่แน่นอนคือ Reine 
ตอนที่ไปหิมะยังไม่ตก พื้นกับยอดเขาเลยไม่ขาว ดูขาดๆ ไปหน่อย แต่ถือว่าได้มาแล้ว ตอนลงมาถ่ายรูปคนไม่มีเลย พอเราถ่ายรูปแป๊บเดียว มากันเพียบเลย จองมุมถ่ายภาพกันให้ดีๆ😁


Reine

เมฆเยอะมาก ทำให้ดูไม่สดใสเลย คนที่มาถ่ายรูปเตรียมขาตั้งกล้องมาทุกคน ใครจะมาก็อย่าลืมใช้กันนะ ส่วนเราเอามาเหมือนกัน แต่ขาตั้งกล้องสู้ลมไม่ได้ ล้มหมด และเราก็หนาวเลยรีบถ่ายรีบขึ้นรถ ฮ่าๆ




ขับไปอีกนิดก็ถึง Hamnøy ก็แวะถ่ายอีกนิดนึงแล้วไปต่อ...
คือเห็นตรงไหนสวยหน้าถ่ายรูปก็จอดแล้วลงไปถ่ายเลย หรือหนาวก็เปิดกระจกรถแล้วถ่ายเลย สบายดี😆



ขับรถชมวิวแล้วถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ตลอดถนน E10 จนฟ้ากำลังจะมืดอีกครั้ง และหิมะก็เริ่มตก แต่ตกใหม่ตอนแรกๆ ของที่นี่เจ็บมาก ตกมาดังลูกเห็บจิ๋ว มันมาเยอะและแรง ผิวแดงเลยแหละ ระวังด้วยนะคะ

ช่วงบ่าย 2 เราก็มาถึงที่พักแล้วนั่งกินมาม่าอย่างสบายใจเพราะอุ่นมาก😋 แนะนำพกมาม่ามาให้พอ มันฟินมากตอนกินไปดูวิวไป หลังจากนั้นเราก็พักผ่อนกัน เดินเล่นแถวบ้านพัก ทำอาหารกิน แล้วรอให้ฟ้าเปิดเพื่อล่าแสงเหนือ แต่หิมะตกหนักกว่าเดิมเลยคิดว่าหมดสิทธิ์หาแสงเหนือแล้วก็พักผ่อนแทน

เหลืออีก 1 วันในการตามหาแสงเหนือ อ่านได้ในตอน 3 นะคะ😊


*รูปทั้งหมดนี้ไม่ได้ปรับฟิลเตอร์อะไรเลย ฟ้าและอากาศเป็นแบบนี้จริงๆ*


อ่านเรื่องเล่า ดูอัลบัมเที่ยวที่
Instagram :  https://www.instagram.com/jeeffrie

Facebook :  https://www.facebook.com/paitiewnaigorpai

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

[รีวิวเที่ยว] ตอน 1 : เที่ยว Lofoten แม้พระอาทิตย์ไม่ขึ้น แต่สนุกไม่ลืม | เที่ยวนอร์เวย์ | เที่ยวยุโรป



หลังจากกลับมาจากทริปยุโรปล่าสุดช่วงปลายเดือนธันวาคม 2561 ก็คิดว่าประสบการณ์ที่ไปเที่ยวเกาะโลโฟเทน Lofoten ที่นอร์เวย์น่าจะเอามาเขียนเพื่อเป็นความรู้ให้ใครหลายๆ คนที่กำลังสนใจจะไปเที่ยวที่นี่พอสมควร และคนไทยก็ไปเที่ยวเยอะมาก

ทริปยุโรปของเราเริ่มจากมาลงที่นอร์เวย์(ออสโล-เบอร์เกน-โลโฟเทน) ตามด้วยสวีเดน(สต๊อกโอม) ฟินแลนด์(เฮลซิงกิ) เอสโตเนีย(ทาลลินน์)และตุรกี(อีสตันบูล) แต่เราขอเล่าที่เที่ยวในโลโฟเทนเน้นไปเลย เพราะที่อื่นเป็นเมืองหลวงและเมืองหลัก เที่ยวง่ายชิลๆ อยู่แล้ว

หลังจากที่เที่ยวในเมืองเบอร์เกนแล้ว เราก็นั่งเครื่องบินไปยังโลโฟเทนเลย เป็นวิธีที่แพงที่สุด แต่สบายที่สุด ถ้าจะให้ประหยัดก็นั่งรถไฟเก็บระยะทางไปเรื่อยๆ แวะนอนเมืองอื่นสัก 1-2 คืน แล้วนั่งเฟอรี่ข้ามไปโลโฟเทน ถ้านั่งรถไฟยาวน่าจะเซ็งมากๆ อันนี้แล้วแต่คนนะ เราเน้นประหยัดเวลาและสบายๆ😂

วิวบนเครื่องบินตอน 11 โมงเช้า

เครื่องบินใบพัดของสารการบิน Wideroe ตอนเที่ยง
ส่วนการเดินทางด้วยเครื่องบินเรานั่งสายการบิน Wideroe ไปลง Bodø (โบโด) และเปลี่ยนเครื่องไปนั่งเครื่องบินแบบใบพัด(ขนาดเล็ก) ที่นั่งแค่ 25 คนเอง (อย่างกับรถตู้นั่งไฟพัทยา) เพื่อไปลงที่สนามบิน Leknes (เล็กเนส) 1 ใน 2 สนามบินในโลโฟเทน อีกสนามบินชื่อ Svolvær (สโลแวร์)

วิวเมือง Reine
ที่เราเลือกมาลง Leknes เพราะว่าเราจะขับรถไปเที่ยวสุดเกาะฝั่งตะวันตก เป็นหมู่บ้าน Å (โอ) ฝั่งนั้นมีวิวที่ตากล้องเก่งๆ จะไปตามหารูปสวยๆ ถ่ายกัน อย่างวิวภูเขาใน Reine ที่คนชอบเที่ยวต้องเคยเห็นบ่อยๆ แล้วร้องอ๋อออออ😆

วันแรกหิมะยังไม่ตก แต่ฝนตกไปนิดๆ เราลงที่สนามบิน Leknes สนามบินเล็กมาก เดินลงจากเครื่องบินมา 50 เมตรก็ถึงสนามบิน ข้างในว่างๆ เงียบมาก บางทีเล็กกว่าบ้านบางคนอีก ฮ่าๆ เดินไปนิดนึงมีเค้าท์เตอร์รับรถอยู่ประมาณ 3 บริษัท เราเช่า Europecar เพราะราคาถูกสุดสำหรับรับรถที่สนามบิน 


[[ เกาะโลโฟเทนแนะนำว่าต้องเดินทางด้วยรถยนต์เท่านั้น เพราะอากาศแปรปรวนมากโดยเฉพาะฤดูหนาว ไม่มีรถบัสด้วย และในฤดูที่มีรถบัสวิ่งตารางรถก็ไม่เยอะมากเท่าไหร่ ]]


เจอพนักงานแล้วยื่นใบจองให้ดู เขาก็อธิบายการใช้รถ Hybrid แล้วก็ชี้ว่ารถจอดอยู่ฝั่งโน้น ถ้าจะมาส่งรถ ให้ทิ้งกุญแจรถไว้ในตู้ข้างๆ ผนังได้เลย พูดจบปุ๊บ พนักงานปิดเค้าท์เตอร์แล้วก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว😅


ไม้กันถนนสีแดงเตือนว่าเป็นขอบถนนและเป็นที่บอกทางตอนกลางคืน
ถนนในโลโฟเทนมีแค่ 2 เลนคือสวนกันไปมา ส่วนข้างทางเป็นไหล่ทาง อย่าเผลอจอดแวะ มันจะขึ้นมายากและรถจะมีรอยเอา เวลาขับเขาจะมีไม้สีแดงมีสะท้อนแสงไฟได้ตอนกลางคืนปักข้างขอบถนนทั้ง 2 ข้างเพื่อให้คนขับรู้ว่าอย่าขับตกไหล่ทางเพราะตอนกลางคืนมืดมากไม่มีเสาไฟ มีแต่ไฟรถเท่านั้น และหากมีรถคันใหญ่ขับผ่านมาหรือทางเป็นเลนเดียว ข้างทางบางจุดจะมีที่ว่างสำหรับจอดพักรถแล้วให้รถที่ไม่มีจุดพักรถได้ไปก่อน 


ที่พัก 3 คืนของเรา สงบและสบายมาก
สำหรับที่นอน เราพักใกล้ Haukland Beach ที่สุดห่างประมาณ 8 กิโล ซึ่งไม่ไกลจากสนามบิน Leknes ด้วยเป็นบ้านโมเดิร์นริมทะเล เจ้าของนิสัยดีมาก เงียบสงบสุดๆ ด้านหลังเป็นเขา Offersøykammen ปีนขึ้นเขาไปดูวิวได้ มีคนบอกว่าปีนไม่ยาก แต่ตอนเราไปหิมะตกก็ไม่น่าปีนเท่าไหร่😂 


แวะถ่ายรูประหว่างทาง
และแล้วก็ถึงเวลาเที่ยว แน่นอนว่าเป็น Haukland Beach เพราะใกล้ที่สุด โดยระหว่างทางสวยตลอดทั้งเส้น ประมาณว่าเห็นจุดพักรถตรงไหนก็จอดถ่ายรูปๆ รถไม่เยอะเลย มาทีละคัน 2 คัน แวะมาเรื่อยจนถึงชาดหาด ก็เจอฝรั่งกลุ่มใหญ่กำลังเดินเล่นริมหาด และอีกกลุ่มน้อยกำลังลงมาจากเขา แต่ตอนนั้นเวลาบ่ายกว่าๆ ฟ้าเริ่มมืดแล้ว 

[[ จากที่เราบอกไปว่าเรามาเที่ยวช่วงใกล้ปีใหม่ คือ 28-31 ธ.ค. ช่วงนั้นเรียกว่าปรากฏการณ์ Polar Night ที่เริ่มตั้งแต่ต้นธันวาถึงต้นมกรา จะไม่มีพระอาทิตย์ขึ้นเลย แต่มีแสงจากดวงอาทิตย์เห็นจางๆ เห็นฟ้าตอน 5 โมงเย็นบ้านเรา ตั้งแต่ 10.00-14.00 น. มักแปลกดีแต่ข้อเสียคือเที่ยวได้น้อยมากเพราะตอนมืดถนนไม่มีไฟเลย สำหรับคนในเมืองคงไม่ชินที่ขับบนถนนที่ไม่มีไฟข้างทางข้างหน้า ต้องขับช้าๆ ไปเรื่อยๆ ]]


Haukland Beach ช่วงบ่ายถึงบ่ายสอง

ฟ้ามืดปุ๊บ ก็หิวปั๊บ เราเลยไปที่ซุปเปอร์มาเก็ตที่ใกล้ที่สุด อยู่ในเมืองเล็กเนสนั่นแหละ มีของสด ของใช้ อาหารสำเร็จรูป เหมือนโลตัสบ้านเรา ขับรถกลับบ้านมาบ่าย 3 กว่าก็ทำมาม่าที่พกไปกิน มันฟินมาก ฮ่าๆ 😁

หลังจากกินเสร็จ เจ้าของบ้านพักก็เดินมาทักทาย เราบอกอยากเห็นแสงเหนือ เขาก็เปิดเว็บดูพยากรณ์แล้วบอกว่าวันนี้มีเยอะเลย ดูได้จากบนหัวได้เลย มันจะผ่านทั้งท้องฟ้า เราก็ดีใจ คุยเสร็จเตรียมกล้อง ขาตั้งกล้องให้พร้อม ถ่ายปุ๊บ มีแต่เมฆ😭 ถ่ายเป็นอีก มีติดแสงสีเขียวๆ ด้วย ดีใจใหญ่เลย แต่ส่วนใหญ่เป็นเมฆ ฮ่าๆ ท้องฟ้าปิดมาก ตอนที่ไป มีแต่เมฆกับเมฆ แล้วก็ไม่มีหิมะให้เห็นด้วย มีแต่ความมืดกับลมแรง


เมฆเยอะมาก

แสงเหนือแบบเบลอๆ😅


หลังจากทนความหนาวไม่ไหว ก็เอากล้องกลับเข้ามาในบ้าน กล้องเย็นเจี๊ยบ เลยต้องเอามาพักไว้ก่อน แล้วเราก็นั่งเล่นอาบน้ำนอนดูซีรีย์เกาหลีไปแป๊บนึง ก็พักผ่อนเก็บแรงเพราะวันถัดไปจะเป็นเที่ยวฝั่ง Å กับ Reine


*รูปทั้งหมดนี้ไม่ได้ปรับฟิลเตอร์อะไรเลย ฟ้าและอากาศเป็นแบบนี้จริงๆ*



อ่านเรื่องเล่า ดูอัลบัมเที่ยวที่
Instagram :  https://www.instagram.com/jeeffrie

Facebook :  https://www.facebook.com/paitiewnaigorpai


วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2562

[แชร์เรื่องเที่ยว] 9 ประสบการณ์ที่ได้จากไปเที่ยวยุโรป!



หลายคนมีประเทศที่อยากเที่ยวในใจอยู่ในทวีปยุโรปแน่นอน เราก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยเวลาที่เราไปเที่ยวฝั่งยุโรป เรามักจะไปเที่ยวหลายๆ ประเทศ เนื่องจากความโลภอยากไปหลายที่ ก็ทำให้เราได้รู้อะไรหลายๆ อย่างค่ะ

มาดูประสบการณ์ต่างๆ ที่เราอยากแชร์ให้เพื่อนๆ อ่าน สำหรับคนที่เล็งๆ ว่าจะไปเที่ยวแถบยุโรป(เชงเก้น) และคนที่กำลังจะไปว่าควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนไปเที่ยวค่ะ

1.ระบบตรวจรถไฟของแต่ละประเทศแตกต่างกัน ไม่ว่าจะบนดินใต้ดิน ในบางประเทศจะต้องมีตั๋วอย่างชัดเจนและต้องสแกนผ่านด่านเข้าสถานี แต่หลายประเทศในยุโรป ไม่มีด่านผ่านสถานี จะเดินขึ้นรถไฟไปเลยก็ได้ แต่ในบางขบวนก็จะมีผู้ตรวจตั๋วคอยเดินเช็ค ถ้าไม่มีตั๋วแล้วขึ้นรถไฟมา เจอคนตรวจก็ต้องจ่ายเงินในราคาที่สูงกว่าตั๋วมาก(ประมาณว่าบวกค่าปรับ) หรือบางคนไม่มีเงินก็โดนให้ลงป้ายหน้าค่ะ

และเวลาจะซื้อตั๋วรถไฟต่างๆ เดี๋ยวนี้ตู้เขาก็ไม่ค่อยรับเงินสดนะคะ ถ้าจะเงินสดอาจจะต้องเเดินไปซื้อที่ Information ทางที่ดีเตรียมบัตรเครดิตให้พร้อม แต่ตู้ที่บัตรเครดิตก็ต้องใช้ PIN เพื่ออนุมัติการรูดของเรา ทางที่ดีโหลดแอพของบริษัทรถไฟนั้นๆ เอาไว้ และซื้อตั๋วผ่านแอพโดยใช้บัตรเครดิตค่ะ เพราะซื้อผ่านแอพใช้ CVV หลังบัตรกับ OTP ที่ส่งเข้ามือถือเราอนุมัติค่ะ(มือถือก็ต้องมีโรมมิ่งอยู่นะคะ😅)



2.ช่วงเทศกาลอย่างคริสต์มาสหรือปีใหม่ทุกอย่างจะปิด หากอยู่ในไทยคริสต์มาสอาจไม่สำคัญเท่าปีใหม่ แต่ฝรั่งเขาถือว่าช่วงเวลานี้ตั้งแต่ 24-26 ธันวาคมนั้นเป็นวันหยุดของเขาเหมือนสงกรานต์บ้านเรา(ถามความคิด) ไม่ว่าจะอยู่เมืองไหน ร้านค้าและร้านอาหารจะปิดและบางร้านปิดเร็ว แม้กระทั่งบางโรงแรมยังปิดเลยค่ะ เพราะฉะนั้นควรดูเวลาว่าตรงกับช่วงนี้ไหม และจะทำอะไร ไปไหนบ้างถ้าสถานที่หรือบริการต่างๆ หยุดบริการ


3.บัตรเครดิตสำคัญมาก ที่ยุโรปไม่มีประเทศไหนไม่รับบัตรเครดิตค่ะ ยิ่งเป็นแถบสแกนดิเนเวียแล้ว มีคนบอกว่าถ้าเขาให้จ่ายเงินสดแปลว่าเข้าข่ายจะโกงได้เลยค่ะ เพราะแถบนั้นถ้าอยากเข้าห้องน้ำสาธารณะยังหยดเหรียญไม่ได้เลย ต้องรูดบัตรอย่างเดียวเท่านั้น ที่สำคัญคือไม่จำกัดขั้นต่ำในการรูดบัตรค่ะ จะซื้อน้ำขวดเดียว 40 บาท ก็รูดบัตรได้เลย(แต่เราต้องเสียค่ารูดบัตรนะ😂)


4.อย่าไว้ใจคนที่นั่น ไม่ได้จะบอกว่าคนยุโรปไม่ดี แต่จะบอกว่าคนไม่ดี ก็มีอยู่ทุกที่ ยิ่งเราๆ เป็นนักท่องเที่ยวหน้าตาไม่เหมือนฝรั่งสักนิด ฝรั่งเดาอยู่ไม่กี่ประเทศค่ะว่าเราอาจจะมาจากจีน เกาหลี ญี่ปุ่น เป็นหลัก หมายความว่าคนมาเที่ยวต้องมีตังค์พอควร และอาจมาเที่ยวแบบไม่รู้อะไร ไม่สนใจอะไรเพราะมาเที่ยวสนุก

แต่! การโกงค่าเงิน จ่ายไม่ครบ มีบ่อยพอควรค่ะ ของเราเจอที่ประเทศเช็กค่ะ ปกติประเทศนี้มีสกุลเงินคือ โครูน่าเช็ก แต่เรามียูโรเพราะมาจากเยอรมันที่ใช้ยูโร และเห็นว่าที่เช็กบางร้านค้าหรือร้านอาหารก็รับยูโร เลยขอจ่ายเป็นยูโร แต่เวลาทอนเขาจะทอนเป็นโครูน่า โดยร้านอาหารที่เราไปกินจะมีเรทบอกว่าจากยูโรเป็นโครูน่าเท่าไหร่ แต่ตอนทอน เงินทอนกลับหายไปเป็นพันบาทได้ เลยยืนเช็คบิลจิ้มเครื่องคิดเลขให้พนักงานดูตรงนั้นเลย แล้วเขาก็บอกขอโทษ และคืนเงินมา(ขาดไปเยอะเชียวนะ😤)

และอีกครั้งที่เช็ก เรากำลังหาทางไปที่พักก็มีลุงขับแท๊กซี่บอกจะไปไหน เราก็บอกๆ ไป เขาบอกขอตังค์เท่านี้....แล้วจะพาไป แต่ท่าทางดูเมาๆ เลยเดินหนีออกไป

พอมาที่ตุรกี เจอโกงตั้งแต่สนามบินเลย ตอนนั้นเราจะแลกเงินจากยูโรเป็นลีร่า เราให้แบงค์ 50 ยูโร ไป 1 ใบ และหยิบอีก 50 ยูโรให้อีก 1 ใบ รวมเป็น 100 ยูโร แต่พนักงานแลกให้ 50 ยูโร แล้วให้ใบเสร็จมา เราก็เอ๊ะทำไมเงินดูน้อยๆ ดูในใบเสร็จบอกแค่ 50 ยูโร เลยต้องทวงอีก 50 ทีนี้มีเศษแค่ 0.1 เราจะทวงเลย ไม่ต้องมาปัดทิ้งเลยนะ เขี้ยวหนักกว่าเดิม😤😂

มีอีกครั้ง(ยังไม่จบ)ที่เยอรมัน อันนี้เราไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นธรรมเนียมหรือเป็นการมัดมือชก ไปกินข้าวในร้านอาหาร พอขอบิล สมมติว่าต้องจ่าย 97 ยูโร จ่ายไป 100 พนักงานบอกที่เหลือเป็นทิปละกัน หยิบเศษเก็บเข้าตัวไป อ่าว ขออย่างนี้ก็ได้หรอ?

นอกจากการโกงแล้ว การขโมยของก็ควรระวังนะคะ ในที่คนเยอะๆ เสี่ยงมาก ขนาดสวิสเซอร์แลนด์ที่ว่าปลอดภัย ยังมีมารูดกระเป๋าเราเลย(ไม่รู้แกล้งหรือจงใจ) แต่ไม่ได้อะไรไป


5.การจองตั๋วเครื่องบินในเขตเชงเก้นสำคัญ เพิ่งโดนมาแบบไม่ตั้งตัวและไม่ได้นึกถึงเลยค่ะ โดยปกติแล้วไม่ว่าเราจะเดินทางไปประเทศอื่นในเชงเก้นด้วยรถไฟ รถบัส หรือรถ หากมีวีซ่าแบบ Single หรือเข้าเขตเชงเก้งได้ 1 ครั้ง เราสามารถไปประเทศไหนก็ได้ในเชงเก้น แต่เดินทางด้วยเครื่องบินนั้นต่างไป ต้องมาเช็คกันก่อนซื้อด้วยว่าเรามีวีซ่าแบบไหน ถ้าเป็นแบบ Multi ก็สบายๆ จะเข้าออกเชงเก้นกี่ครั้งก็ได้แต่ตามวันที่กำหนด แต่ถ้าเป็นแบบ Single ต้องระวังให้ดี!

หากจะบินจากโรม อิตาลี ไป ปารีส ฝรั่งเศษ แต่ใช้สายการบินที่อยู่นอกเชงเก้น(ถือว่าเป็น Transit) สายการบินจะไม่อนุมัติให้เราขึ้นเครื่อง เพราะเขาดูที่ปลายทางเป็นหลัก ถ้าใช้สายการบินฝั่งเอเชียหรือทวีปอื่น แต่จะนั่งแค่จากอิตาลีไปฝรั่งเศสก็ทำไม่ได้นะคะ เพราะฝรั่งเศสไม่ใช่ปลายทางที่แท้จริง มันหมายถึงว่าคุณจะออกจากเขตเชงเก้นแล้วกลับเข้ามาใหม่ มีคนอธิบายมาว่าเพราะ gate ของสายการบินนอกเชงเก้นต้องผ่าน ตม. ก่อน ขณะที่สายการบินของกลุ่มเชงเก้นไม่ต้องผ่าน ตม. ขึ้นได้เลย (ซึ่งเป็นอย่างนั้นจริงๆ) ต้องมีวีซ่า Multi ถึงจะขึ้นได้

เวลาซื้อตั๋วอย่าดูแค่ต้นทางและปลายทางบนหน้าเว็บนะคะ ดูด้วยว่าเป็นสายการบินของเขตเชงเก้นไหม ถ้าไม่ก็ห้ามซื้อเด็ดขาดค่ะ! ไปซื้อของสายการบินประเทศที่เราจะเดินทางออกหรือเข้าดีกว่าค่ะ เซฟที่สุด ไม่ใช่ว่าเห็นตั๋วสายการบินบริทติชอยู่ในยุโรปก็จะซื้อนะคะ ไม่มีวีซ่า UK ก็โดนไล่ไปซื้อใหม่ค่ะ(ถ้ามีก็โอเค)


6.พกกระเป๋าผ้าหรือถุงพลาสติกขนาดกลางไปด้วย ถ้าเข้าซุปเปอร์มาเก็ตหรือซื้อของตามร้านค้าส่วนใหญ่เขาจะไม่ให้ถุงเรานะคะ ไม่ก็ต้องซื้อค่ะ แต่ละร้านราคาถุงถูกแพงต่างกันด้วย ทางที่ดีพกถุงพลาสติกหรือกระเป๋าผ้าไปง่ายดีค่ะ


7.ทุกอย่างต้องทำเอง แต่ละประเทศมีระบบ Self-service หลากหลายบริการมาก ที่เจอบ่อยสุดในยุโรปคือระบบสแกนโค้ดซื้อของเอง คือจะมีแท่นเค้าเตอร์สแกนบาร์โค้ดสินค้าตามซูปเปอร์ เรียงรายอยู่ แล้วเราสามารถเดินไปสแกนเอง จ่ายตังค์เอง(เงินสดหรือบัตรเครดิต) จากนั้นใส่ของที่ซื้อใส่ถุงเอง แล้วเดินออกไป บางที่จะมีคนคอยช่วยเหลือหากติดขัดอะไร แต่บางที่ก็ไม่มีคนดูเลย ทำเองละกัน😁

บริการที่ต้องทำเองถัดมาล้ำไปอีกคือ Check-in และ Check-out ด้วยตัวเอง ง่ายๆ คือกรอกชื่อแล้วค้นหา พอรายละเอียดขึ้นกด Check-in แล้วเอาการ์ดที่อยู่ในกล่องมาวางกับตัวส่งข้อมูลเข้าบัตร แล้วก็เดินไปสแกนเข้าห้องพักได้ ตอนออกก็วิธีเดียวกัน วิธีนี้คือแบบที่เจอมา อาจมีวิธีอื่นอีก ง่ายๆ เนอะ แต่เราทำแล้วช้าไงไม่รู้ เดินไปหาพนักงาน 1 ก้าวแล้วขอเช็คอินง่ายกว่า ฮ่าๆ😂

การขึ้นเครื่องบินภายในประเทศและประเทศอื่นในเชงเก้นก็ทำเอง ตั้งแต่ Check-in โหลดกระเป๋าและขึ้นเครื่อง โดยจะเช็คอินผ่านตู้ที่ตั้งไว้มากมายในสนามบิน เช็คอินเสร็จจะได้ Boarding Pass และ Tag ติดกระเป๋า(สำหรับคนโหลดกระเป๋า) ติดแท็กกระเป๋าแล้วเอากระเป๋าไปวางบนสายพาน ชั่งน้ำหนักแล้วสแกนโค้ดบนแท็ก ผ่านปุ๊บ กระเป๋าเราก็จะโดนเลื่อนไปตามสายพานเพื่อเอาขึ้นเครื่อง จากนั้นตอนจะขึ้นเครื่องก็ไม่ได้มีคนตรวจอะไร แค่มาเปิด gate ยืนคุมและเราก็ใช้ Boarding Pass สแกนขึ้นเครื่องเอง จบ!👏

การเติมน้ำมันก็ต้องทำเองเช่นกัน หลายคนคงรู้ว่าฝรั่งเขาให้เติมเอง เราก็รู้แต่ตอนแรกที่ลองเติมไป อ่าว ไม่มีระบุจำนวนเงินหรือกดเต็มถังออโต้แบบบ้านเรา เดินเข้าไปในมินิมาร์ทขอให้พนักงานช่วยเติม หน้าเหวี่ยงเลยจ้า ประมาณว่ามาใช้ทำไม สรุปกดคันโยกที่หัวปั๊มไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจ...ก็ที่เคยเห็นเขาบอกว่าให้กดครั้งเดียวนิ ถ้ากดหลายรอบมันจะจ่ายน้ำมันมาอีก

อีกอย่างที่ต้องทำเองและก็งงๆ คือวิธีการรับรถเช่า โดยปกติพนักงานจะต้องอธิบายการเช่ารถและพาไปที่รถไปตรวจรถว่ามีรอยเก่าอยู่ตรงนี้ๆ นะ...แต่ไปมาที่นอร์เวย์(ไม่รู้ประเทศอื่นเป็นไหม) พนักงานยืนอยู่ที่เค้าเตอร์อธิบายทุกอย่างที่เค้าเตอร์นั้น แต่บอกว่ารถไม่มีรอยใดๆ ไปตรวจเอง แนะนำให้ถ่ายรูปรอบรถเป็นหลักฐานก่อนขับออก แล้วชี้ว่ารถจอดอยู่ตรงนู้น แล้วก็แต้งกิ้วปิดเค้าเตอร์เดินหายไปเลย เร็วดี ฮ่าๆ😄 ตอนส่งรถง่ายกว่าจอดรถที่เดิมแล้วหย่อนกุญแจรถไว้ที่ตู้ จากนั้นจะไปไหนก็ไป เดี๋ยวมีบิลทวงหนี้ตามมา ถ้ารถเป็นรอยหรือเสีย(สำหรับไม่มีประกัน 0 excess) แต่ให้ดูเรื่องเวลาเปิด-ปิดเช่าด้วยนะคะ บางประเทศบางที่มีคิดเงินเพิ่มสำหรับขอเช่านอกเวลาทำการนะคะ เดี๋ยวจะงงว่ามีค่าอะไรชาร์ตเพิ่มมา


8.ใช้ระบบไว้ใจ ข้อนี้มีข้อ 1 โยงมาคือบางประเทศไม่มีคนตรวจตั๋วรถไฟ รถบัส ไม่ใช่ไม่ตรวจหรอก แต่เขาสุ่มเอา ยิ่งรถบัสนี่ไม่ค่อยตรวจเลย เพราะเขาคิดว่าถ้าเห็นว่าใครพยายามโกงก็ปรับหนักเลย

นอกจากเรื่องตั๋วรถไฟแล้ว ระบบโรงแรมก็เป็นคือปกติในโรงแรมจะมีเค้าเตอร์บาร์ที่มีขนมและน้ำดื่ม(แบบต้องซื้อ) อยู่ในตู้เย็นของห้องที่เข้าพัก เวลาเช็คเอ้าท์เขาก็ถามตรงๆ เลยว่าได้กินหรือดื่มอะไรในนั้นไหม ถ้าไม่ก็เช็คเอ้าท์เสร็จเรียบร้อย ง่ายปะละ😆


9.น้ำเปล่ามี 2 ประเภท ไปเที่ยวเองแรกๆ งงว่าทำไมดื่มน้ำเปล่าแล้วมันซ่าๆ เหมือนโซดา นึกว่าสั่งน้ำผิด แต่ที่จริงแล้วที่นู่นเขามีน้ำเปล่า 2 แบบคือน้ำเปล่าธรรมดา เขาเรียกว่า Still หรือ Without gas ส่วนอีกแบบคือน้ำเปล่าที่อัดแก๊สเหมือนโซดา เรียกว่า Sparkling , Gas หรือ With gas ตามแต่ละที่เรียก และส่วนใหญ่ฝรั่งจะชอบดื่มน้ำเปล่าอัดแก๊ส คงเพราะมันซ่าๆ ดี แทนน้ำอัดลมก็ได้😀

หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับคนที่เริ่มเที่ยวยุโรปหรือกำลังจะไปเที่ยว และเรื่องต่างๆ ที่เล่ามานี้คือประสบการณ์ที่เราเจอ บางคนอาจบอกว่าไม่เจอหรือบางคนบอกว่าเจอหนักเจอแปลกกว่านี้ แล้วแต่คนจริงๆ เลยเอามาแบ่งปันกัน
ตอนนี้คิดได้ 9 ข้อ แต่จริงๆ ยังมีอีก ถ้าคิดออกแล้วจะมาเขียนเป็นตอน 2 นะคะ😁

เขียนวันที่ 12/1/2562

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2561

[แชร์เรื่องเที่ยว] ตอน 9 (จบ) : เจราช (Jerash) เมืองโรมันโบราณ | เที่ยวจอร์แดน | เที่ยวตะวันออกกลาง

จากตอน 8 ที่เราเข้าไปเที่ยวในเมืองหลวงอัมมาน วันต่อมาเราก็ขอเที่ยวทิ้งทวนก่อนกลับกัน...

[เที่ยววันที่ 7]
วันนี้เป็นวันสุดท้ายในการเที่ยวประเทศจอร์แดนของเราค่ะ เราจะไปที่เมืองเจราช ที่มีซากปรักหักพังของเมืองโรมันโบราณค่ะ

ขับรถขึ้นเขามาประมาณ 1 ชั่วโมงจากอัมมานก็ถึงแล้วค่ะ เส้นทางจะชันมากอยู่ ระวังด้วยนะคะ พอถึงก็เข้าไปได้เลยค่ะ แต่บอกก่อนว่าจากที่จอดรถเข้าไปในโบราณสถานนั้นเดินเยอะพอควร และหากไปช่วงอากาศร้อนก็พกน้ำไว้นิดนึงค่ะ

ที่นี่ใช้ Jordan Pass อีกเช่นเดิม เปิด QR Code สแกนเข้าไปได้เลยค่ะ

[ 📸แนะนำว่าตอนที่เดินเข้าไป Temple of Zeus จะมีแท่งหินสูงใช่ไหมคะ หยิบมือถือออกมาแล้วเข้าไปที่กล้อง ปรับโหมด Panorama แล้วถ่ายลากจากโคนหินขึ้นไปปลายหิน(ด้านท้องฟ้า) ภาพจะสวยค่ะ 😁 ตัวอย่างไม่ได้ใส่ให้นะคะ รูปหาย😂]














เดินเที่ยวจนไม่ไหวแล้วก็เดินกลับไปที่รถ แต่ก่อนออกไปที่จอดรถจะมีร้านค้าขายผ้าและของฝากเต็มไปหมดเลยค่ะ จะมีร้านแรกๆ ปากทางเข้าจากที่จอดรถ พี่เจ้าของร้านทำรูปอูฐในขวดทรายให้ดู เราเลยจะซื้อกลับบ้าน ขวดกลางอยู่ที่ 1 ดีนาร์หรือประมาณ 46 บาท ถูกมากๆ จัดไปเลย แล้วก็มีขายโคลนเดดซีด้วยนะ ถูกมาก ห่อละ 2-3 ดีนาร์ เราไปซื้อที่อื่น แพงกว่านี้เยอะ แล้วก็มีเทียนรูปเพตรา ผ้าชีมัคเยอะแยะไปหมด ต่อไปเรื่อยๆ จนจะซื้อหมดร้าน ฮ่าๆ ที่เจราชของฝากถูกสุดค่ะ👍 ส่วนเพตราแพงค่ะ

จากเจราชกลับมาหาของกินที่อัมมานก่อน ไม่รู้จะไปไหนเลยเข้าห้างละกัน เรามาที่ห้าง City Mall เห็นว่าเป็นห้างใหญ่ ติดคาร์ฟูร์ แต่พอมาแล้วมันโล่งๆ นะ เงียบๆ ด้วยไม่คึกคักแบบบ้านเรา คนในห้างน้อยมาก คงเพราะคนในประเทศเขามีแค่ 10 ล้านคน ในเมืองมี 4 ล้านคน พื้นที่เยอะแต่คนอยู่น้อยเลยว่างๆ หน่อย

ร้านอาหารก็จะมีแต่ฟาสต์ฟู้ดเช่น แมคโดนัล พิซซ่า ซับเวย์ ร้านไก่ทอด เบอร์เกอร์คิงส์ มีรวมๆ 20 ร้าน แต่ก็ไม่รู้จะกินอะไรดี 5555 เลือกแมคแทนละกัน รสชาติคล้ายๆ ที่บ้านเราค่ะ ถือว่าผ่าน!! เคยไปกินแมคที่ญี่ปุ่น ครั้งเดียวแล้วไม่เข้าไปอีกเลย😅

พอถึงเวลาไปส่งรถจะขับไปส่งที่ Drop off ผู้โดยสาร ดันจอดเกิน 10 นาที เสียค่าจอดรถ 200 บาทเลยค่ะ 5555 ใครจะไปส่งรถที่สนามบิน Queen Alia ดูด้วยนะคะว่าจอดส่งรถที่ทางไหน สรุปให้ไปส่งที่ทางไป Departure นะ (ถ้าจำไม่ผิด55)

สรุปเที่ยวจอร์แดน
  • มาเที่ยวจอร์แดนเปิดประสบการณ์มากทั้งทัศนียภาพ ผู้คน อาหารการกิน ส่วนตัวชอบมากค่ะ
  • เป็นประเทศที่มีวิวทุกแบบใน 1 ประเทศ ทั้งทะเลทราย ทะเลสาบ ทะเล หินผา สวนผักผลไม้และดาวอังคาร
  • ผู้คนน่ารัก ยิ้มแย้ม เป็นกันเอง ไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่ทุกที่ก็มีคนไม่ดีอยู่ ระวังตัวอยู่เสมอดีที่สุดค่ะ
  • คนจอร์แดนส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ มีรัวบ้างบางคน
  • ภาษาอาหรับที่ใช้บ่อยสุดคือ ซุกกรัน(ขอบคุณ)🙏
  • นักท่องเที่ยวด้วยกันไม่ว่าจะชาติไหนจะทักทายและยิ้มแย้มให้กัน 😁
  • ไปจอร์แดน 7 วัน เจอคนไทยอยู่ 3 คน มีบนเครื่องขาไป 2 เพตรา 1 คน
  • เมืองสะอาดปกติ ยกเว้น มาดาบา ไม่รู้ทำไม
  • ถนนในเมืองค่อนข้างชันและถนนบางเส้นมีหลุมบ่อเยอะหน่อย ขับอย่างระมัดระวังนะคะ
  • คนที่นี่ใช้แตรรถเป็นทุกอย่าง ดังทั้งวัน ใครขับรถเที่ยวไม่ต้องสนใจเสียงค่ะ
  • ของฝากต่างๆ ต่อรองได้ ซื้อของฝากที่เจราชทำท่าจะเดินออกจากร้าน ว่าซื้อนิดหน่อยพอ แต่สักพักโปรลดราคามาเพียบ ได้ถูกไปอีก😆
  • อาหารบางที่อร่อยดี แต่ส่วนใหญ่คงไม่ถูกปากมากเท่าไหร่ มีแต่ไก่กับแกะ มีปลาบ้างตามร้านอาหารบางที่ ส่วนใหญ่ที่กิน ข้าวเนื้อแกะอร่อยสุด
  • ขนม Knefeh อร่อย!!
  • อากาศไม่ได้ร้อนจัดอย่างในรูป!! เราไปปลายกันยาเป็นช่วงปลายร้อนเข้าหนาว อากาศสบายๆ มีร้อนบ้างตอนกลางวัน ประเทศไทยร้อนกว่า ก่อนเที่ยวก็เช็คอากาศก่อนว่าร้อนมั้ย..?
  • ค่าเที่ยวไม่แพง ทิปเราแบบกลางๆ ประมาณ 38000 ถ้าได้ตั๋วบินโปรก็ลดไปอีก 3000-4000 บาท งบถูกแพงแล้วแต่จัด
  • ตั๋ว Jordan Pass ครอบคลุมทั้งค่าวีซ่าและสถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศ(ที่สำคัญ) คุ้ม!!
  • วาดิรัมและเพตราที่ไฮไลต์ ต้องมา ห้ามพลาด!!
  • เดดซีก็ควรไป พักผ่อน ลอยน้ำเล่นสัก 1 วัน!

[----- แชร์เรื่องเที่ยวจอร์แดน 7 วัน -----]



อ่านเรื่องเล่า ดูอัลบัมเที่ยวที่
Instagram :  https://www.instagram.com/jeeffrie

Facebook :  https://www.facebook.com/paitiewnaigorpai

อัพเดตเรื่องเล่าล่าสุด

[รีวิวเที่ยว] ตอน 3 (จบ) : หาด Unstad ในฤดูหนาว | เที่ยวนอร์เวย์ | เที่ยวยุโรป

ต่อจาก ตอน 2  ในวัดถัดมา ก็มีแผนที่จะไปหาด Unstad ที่อยู่ห่าง Leknes ประมาณ 20 กว่ากิโลเมตร แล้วเราก็ไปที่เดียวเลย ไปที่เที่ยวอื่นไกลมาก...